หลักการทำงานของหลอดไฟ: จากไส้หลอดร้อน และ LED
หลอดไฟเป็นอุปกรณ์ที่เราใช้กันทุกวันเพื่อให้แสงสว่าง แต่ละชนิดมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันไป ลองมาดูกันว่าหลอดไฟแต่ละประเภททำงานอย่างไร
หลอดไส้ (Incandescent Lamp)

- หลักการ: เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นลวดไส้ (มักทำจากทังสเตน) ซึ่งมีความต้านทานสูง เส้นลวดจะร้อนจัดจนเกิดแสงสว่างออกมา
- ข้อดี: ให้แสงสีอบอุ่น
- ข้อเสีย: เปลืองพลังงาน อายุการใช้งานสั้น และให้ความร้อนสูง
หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp)

- หลักการ: ภายในหลอดบรรจุแก๊ส เช่น ปรอท เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แก๊สจะปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตออกมา รังสีนี้จะไปกระทบสารเรืองแสงที่เคลือบอยู่ภายในหลอด ทำให้สารเรืองแสงเปล่งแสงออกมา
- ข้อดี: ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้
- ข้อเสีย: มีสารปรอทซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
หลอด LED (Light Emitting Diode)

- หลักการ: เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านชิปเซมิคอนดักเตอร์ (LED) อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสง
- ข้อดี: ประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานยาวนาน ให้แสงสีที่หลากหลาย และไม่ปล่อยสารพิษ
- ข้อเสีย: ราคาสูงในช่วงแรก แต่ปัจจุบันราคาถูกลงมาก
หลอดอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- หลอดฮาโลเจน (Halogen Lamp): เป็นการพัฒนาต่อยอดจากหลอดไส้ โดยบรรจุแก๊สฮาโลเจนเข้าไปในหลอด ทำให้ไส้หลอดมีความทนทานและให้แสงสว่างมากขึ้น
- หลอดโซเดียม (Sodium Vapor Lamp): ใช้แก๊สโซเดียมเป็นตัวกลางในการให้แสง มักใช้ตามท้องถนนหรือโรงงานอุตสาหกรรม
- หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal Halide Lamp): มีประสิทธิภาพสูงกว่าหลอดโซเดียม ให้แสงสีขาวที่ใกล้เคียงกับแสงแดด
สรุป
หลอดไฟแต่ละชนิดมีหลักการทำงานและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้หลอดไฟชนิดใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งาน เช่น
- หลอดไส้: เหมาะสำหรับใช้ในที่ต้องการแสงสีอบอุ่น เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ
- หลอดฟลูออเรสเซนต์: เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่กว้าง เช่น สำนักงาน
- หลอด LED: เหมาะสำหรับใช้ในทุกที่ เนื่องจากประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนาน
ปัจจุบัน หลอด LED ได้กลายเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม